top of page

วิ่งเข้าป่า เพื่อออกจากความบ้า

  • คุณแหนด
  • Jul 6
  • 2 min read

Updated: Jul 11

โพสท์นี้ไม่รู้จะตลกออกมั้ยนะ เพราะจะพูดถึงเรื่องสุขภาพจิตเยอะหน่อยค่ะ ท่านใดอ่านมาซักพักคงพอทราบว่าฉันมีภาวะ C-PTSD (Complex / Childhood PTSD) และภาวะนี้มันจะย้อนมาหลอกหลอนเราบ่อยๆ ผ่านทาง emotional flashback ซึ่งพอมัน flashback มาที ฉันก็จะพังไม่เป็นท่า ยังกะนักร้องตกเวที กว่าจะปีนกลับขึ้นมาได้ก็เป็นอาทิตย์


แต่ล่าสุดฉันทดลองวิธีใหม่ค่ะ จากเดิมที่พอพังก็จะนั่งรอให้ร่างกายจิตใจค่อยๆ เยียวยาตัวเอง ซึ่งนังพวกนี้ก็ทำงานช้าาา ยังกะลูกจ้างชั้นเลวที่วันๆ พักเที่ยง 3 ชั่วโมงและเน้นเม้าเรื่องชาวบ้านมากกว่าทำงานจริง ฉันเลยคิดใหม่...


กรูจะไม่รออีกต่อไป!


เพราะฉันคิดว่าฉันเสียเวลาชีวิตไปกับการนั่งอ่อนด๋อย เศร้าสร้อย ซึมดิ่งกับสิ่งแย่ๆ ในอดีตที่แก้ไขอะไรไม่ได้มามากพอแล้ว แต่แป๊บนะ...ที่ว่าเสียเวลานี่ ไม่ได้หมายความว่าเราจะปล่อยตัวเองให้ดิ่งบ้างไม่ได้นะคะ ฉันไม่ได้สนับสนุนให้เราต้องกระชากตัวเองออกจากความเศร้าให้ได้ทันที บางครั้งมันไม่ไหวก็คือไม่ไหว โดยเฉพาะถ้าคุณเพิ่งเริ่มกระบวนการบำบัด หรือเพิ่งเริ่มทำ healing ด้วยวิธีใดก็ตาม ในช่วงแรกเราใจดีกับตัวเองบ้างได้ไม่ผิดเลย แต่ฉันน่ะ บำบัดมา 5 ปีแล้ว ยาต้านเศร้าต้านบ้าทั้งหลายก็กินมาเป็นปีๆ แล้ว จึงคิดว่ามันถึงเวลาต้องปฎิวัติค่ะ!


นังมารร้ายด่านล่าสุดที่ฉันเพิ่งไปสู้รบด้วยมาก็คือ การกลับไปกรุงเทพฯ เพื่อจัดการธุระให้พ่อ ซึ่งเป็นสิ่งที่ฉันต้องทำแทบทุกเดือนอยู่แล้ว และทุกครั้งที่ต้องไปทำหน้าที่ลูก ความเจ็บปวดทั้งหลายในอดีตก็จะเสร่อมาโผล่หน้าหลอกหลอนเป็นระยะ เพราะครอบครัวฉันค่อนข้างพังพินาศสูง และพ่อเองก็เป็นที่มีความ "เฉพาะตัว" จัดว่าเป็นบุคคลที่มีความยากมากคนหนึ่ง ซึ่งแม่ของฉัน ผู้หย่ากับพ่อและปัจจุบันไม่พูด ไม่ติดต่อ ตัดขาดกันอย่างสิ้นเชิงมาหลายสิบปีแล้ว ได้ให้คำนิยามไว้ว่า พ่อเป็นบุคคลที่ "อายุ 14 ตลอดเวลา" ฉันใช้เวลาในชีวิตไป 38 ปี กว่าจะค้นพบว่าสิ่งที่พ่อเป็นคือ Emotionally Immature Parent (ลองกูเกิ้ลคำนี้ หรือ Lindsay C. Gibson คุณจะเจอข้อมูลที่เป็นประโยชน์มากมายค่ะ ฉันนี่แทบจะนอนฟังหมอ Lindsay ทุกคืนก่อนนอน)


ที่มาพูดให้ฟังนี่ไม่ใช่ว่ามาเผาพ่อ หรือมาเปิดโปงความไม่ดีของเค้านะคะ แต่ฉันเชื่อว่าเมื่อเราเติบโตเป็นผู้ใหญ่มากพอ เราสามารถที่จะถอยออกมามองพ่อและแม่ของเราด้วยสายตาที่เป็นกลาง อยู่บนความเป็นจริงได้ และยอมรับข้อจำกัดหรือข้อบกพร่องต่างๆ ของพวกเค้าได้ โดยไม่ต้องพยายามหลอกตัวเองว่าพ่อแม่คือบุคคลที่สมบูรณ์แบบ ดีที่สุด ถูกทุกอย่าง พระในบ้าน เทวดาในชีวิต เพราะสำหรับหลายๆ ครอบครัวมันก็ไม่ได้เป็นแบบนั้น


เอาง่ายๆ นะ ถ้าคุณลองมองรอบๆ ตัวด้วยสายตาที่กล้าจะเห็นจริงๆ คุณจะพบว่ามีคนมากมายที่เรารู้สึกว่าไอ้นี่สันดานเสีย หรือ นิสัยไม่ดี ไม่อยากคบ ที่เค้าก็เป็นพ่อคนแม่คน ซึ่งคนนอกอย่างเรามองเค้าในฐานะมนุษย์ที่มีปัญหา และแยกตัวเองออกมาจากเค้าได้ แต่ลูกของเค้าที่เกิดมา จะมองเค้าเป็นได้แค่ "มนุษย์ที่ดีที่สุด" และไม่สามารถแยกตัวเองออกมาจากนิสัยแย่ๆ ของพ่อแม่ได้ จนกว่าเค้าจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ และมีวิจารณญาณมากพอ เพราะนี่คือสัญชาตญาณการเอาตัวรอดของเด็กที่ยังช่วยเหลือหรือพึ่งพาตัวเองไม่ได้ค่ะ พวกเค้าต้องการคนดูแล ดังนั้นถ้าเค้าเชื่อว่าผู้ดูแลเป็นบุคคลไม่ได้เรื่อง เค้าจะอยู่รอดได้ไง อันนี้ฉันไม่ได้พูดเองนะ นักจิตวิทยาสอนมา ซึ่งการมองว่าพ่อแม่สมบูรณ์แบบและถูกเสมอ (romanticised) เป็นเหตุผลที่ทำให้ฉันต้องจมอยู่กับปมปัญหาในวัยเด็กมาตลอด 43 ปี กว่าจะเข้าใจและปรับมุมมองตัวเองได้เมื่อมาบำบัด


เมื่อเด็กไม่สามารถเชื่อได้ว่าพ่อแม่คือบุคคลที่มีปัญหา พอปัญหาเกิด สิ่งที่ตามมาเป็นกลไกลทางจิตวิทยาโดยธรรมชาติก็คือ เด็กจะโทษว่าปัญหาเกิดจากตัวเอง นี่แหละ หนังชีวิตฉันเลย แต่เอาไว้ก่อนนะเดี๋ยวจะยาวไป


ในทริปไปกรุงเทพฯ ครั้งนี้ ฉัน break down จากพฤติกรรมของพ่อ เป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วไม่อยากนับ และฉันก็ยังซ้ำเติมตัวเองอีกนะ ด้วยความงก คือทุกครั้งที่เข้ากรุงเทพฯ ฉันจะจัดตารางเอาธุระปะปังต่างๆ มามัดรวมให้จบในทริปเดียว จะได้คุ้มค่ารถ ทีนี้ ธุระที่ฉันจับมารวมในงานนี้ก็คือ 1.การบำบัด EMDR และ 2.Hero Run 2025 ระยะ 5K กับแก๊งเพื่อนสาว


แค่อ่านก็รู้สึกถึงความโง่ของฉันแล้วมั้ย ฉันเขียนเองตอนนี้ยังรู้สึกเลยว่า มึงทำไปทำไม๊???? คือควรจะสำเหนียกได้ตั้งแต่แรกว่าการไปดีลกับพ่อนั้นมีความเสี่ยงสูง ควรจะเคลียร์ตารางให้ว่างๆ จะได้มีเวลาฟื้นใจ แต่นี่อะไรคะ วันถัดไปเสือกนัดนักจิตวิทยาเพื่อบำบัดรื้อปม trauma! การทำ EMDR นี่มันใช้พลังสูงมากนะคุณ มันต้องกลับไปจัดการกับความเจ็บปวดในอดีต ส่วนมากพอทำเสร็จฉันจะฝันร้ายไปอีกพักนึง จนกว่าร่างกายจะเคลียร์เศษซากจากเรื่องเหล่านั้นออกไปหมด ซึ่งฉันทำไปทั้งหมด 20 sessions แล้ว เข้าใจดีว่าตัวเองจะต้องเจออะไร แต่ประมาณตนสูงไปหน่อย และยังไม่พอ! วันถัดไป ยังจะเสือกสมัครวิ่ง 5K กับเพื่อน! การวิ่ง 5K นี่ฉันว่าทรมานกว่าวิ่งฮาฟ มาราธอนอีกนะ เพราะยิ่งวิ่งสั้นเรายิ่งวิ่งเร็ว แล้วการวิ่งเร็วกับฉันเป็นอะไรที่รักกันม๊ากกกกกก ที่ไหนล่ะ! วิ่งเร็วทีไร แม่งแพนิคจะแดกทุกที (อธิบายไว้ในอีกบล็อกนะคะ) แถมเพิ่งไปทำ EMDR มาอีก ร่างกายจิตใจยังไม่รู้สึกปลอดภัย 100% ยิ่งเสี่ยงแพนิคง่าย และนังแพนิคก็ไม่ทำให้ผิดหวังค่ะ นางโผล่มากระโดดงับตอนฉันวิ่งไปได้ 2 กิโล...


DNF สิจ๊ะ รออะไร ออกตัวด้วย Hoka เข้าเส้นชัยด้วย Honda สวยๆ เลยค่ะเมิง ซ้อนท้ายทีมพยาบาลเข้ามานั่งดมแอมโมเนีย เอาน้ำแข็งโปะหัว โปะหน้า เอาสำลีอุดหูเพราะเสียงจากลำโพงหน้าเวทีมันดัง นั่งน้ำตาไหลพรากๆ แบบคุมไม่ได้ ใจเต้นแรงยังกะตอนไปเที่ยว Route 66 (เกิดทันมั้ย? ตอนแรกจะเขียน Taurus pub แล้วแต่เกรงใจ ฮ่าๆๆ) คุณพยาบาลก็ใจดีเอาเฉาก๊วยเย็นๆ มาให้กิน จบจากงานวิ่งฉันก็นั่งรถไฟกลับบ้านอีกเกือบ 4 ชั่วโมง...โคตรจะรีแลกซ์


• ฟื้นจากแพนิคมารำอวยพรเพื่อนที่วิ่งจบค่ะ
• ฟื้นจากแพนิคมารำอวยพรเพื่อนที่วิ่งจบค่ะ

ถึงบ้านสภาพยังกะศพค่ะ และถ้าคุณคิดว่ามันจะจบเมื่อฉันกลับบ้าน ช้าก่อนค่ะ นัง C-PTSD นี้มันต้องมีภาคต่อเสมอ หลังจากทริปนั้นฉันเหมือนคนไร้วิญญาณไปอีกหลายวัน บางทีนั่งอยู่ดีๆ ก็ร้องไห้ และบอกตัวเองว่าจะไม่ไปจัดการธุระให้พ่ออีก จะปล่อยให้ผู้ดูแลที่จ้างไว้รับผิดชอบแทน เพราะฉันเหนื่อยและหน่ายกับปัญหาเดิมๆ มาก แต่...ผ่านไป 2 อาทิตย์ ผู้ดูแลไลน์มาบอกว่า คุณตาหาหมอคราวหน้า อยากให้คุณมานะคะ...อะ...กูก็ต้องไปสิคะ เฮ้อ...ถึงตอนนี้คิดว่าไม่ได้ทำเพื่อพ่อแล้ว แต่ทำเพื่อผู้ดูแล สงสารน้องเค้าต้องมารับภาระเกินหน้าที่ จริงๆ ก็อยากจะจิกหัวตัวเองมาเขย่ามากว่า อิแหน๊ดดด มึงไม่ต้องเป็นคนดีมากก็ได้กูเหนื่อยยย!!! แต่ก็นะ...จบที่เว็บไซต์ d-ticket ค่ะ จองตั๋วรถไฟอีกรอบ


และตั้งแต่วันที่ฉันจองตั๋ว เหมือนมีหน่อของอีมารร้ายได้ปฎิสนธิขึ้นในจิตใจฉันค่ะ ฉันเริ่มวิตกกังวล เริ่มหงุดหงิดกับทุกเรื่อง เริ่มอารมณ์เสียเกือบตลอดเวลา ตอนแรกคิดว่าเป็นเพราะใกล้วัยทองรึเปล่า!!! แต่ไม่น่าใช่นะ (มั้ง แหะๆ) แล้วสุดท้ายมันก็ระเบิดค่ะ ด้วยเรื่องแค่ว่า สามีบอกว่าจะไม่ทานกับข้าวที่ฉันทำ แค่นี้!!! ใช่ค่ะ แค่นี้เลย ฉันดิ่งลงเหวไปเลยค่ะ ความรู้สึกถูกปฏิเสธ รู้สึกไร้ค่า รู้สึกทำอะไรก็ผิด รู้สึกเป็นตัวปัญหา ทุกอย่างที่ฉันรู้สึกมาตลอดช่วงเวลาวัยเด็ก มันสาดกระแทกเข้ามายังกะสึนามิ หอบเอาทุกความพังกลับมาประดังประเด จนฉันจบด้วยการนั่งร้องไห้ไป 4 ชั่วโมง...และเตรียมใจไว้แล้วว่า เที่ยวนี้ก็น่าจะดิ่งไปอีกหลายวัน เช่นเคย


แต่...มันต้องปฏิวัติแล้วดิวะ! ไม่ได้แล้วปะ? มึงเสียเวลาดิ่งมาเยอะไปแล้วค่ะแหนด! ไม่ค่ะ!! กรูจะไม่รออีกต่อไป!! ดังนั้น หลังจากเข้านอนตอนเที่ยงคืนของวันศุกร์ เช้าวันเสาร์ฉันจึง...


ตื่นตี 5 ครึ่ง ไปวิ่งเทรล...


จ่ะ อีบ้า นอนไปไม่ถึง 5 ชั่วโมง แถมฝันร้าย ไม่ค่อยจะหลับ แต่งัดร่างขึ้นมาแต่งตัว สะพายเป้น้ำ แล้วใส่รองเท้าออกจากบ้านไปเลย แบบไม่คิด เพราะถ้าคิดมันจะไม่ไป ถ้าคิดมันจะกลับไปนอนร้องไห้ แล้วถ้าคิดมันจะกลับไปดิ่งต่อเป็นอาทิตย์ค่ะ เหมือนบ้านะแต่ฉันว่าจริงๆ แม่งโคตรกล้าหาญ โคตรวีรสตรี! นี่กล้าชมตัวเองเลยบอกตรง มันคือการแหกโค้งวงจรอุบาทว์ แบบมึงต้องจบ! มึงจบเดี๋ยวนี้!!!


แต่ฉันก็ไม่ได้กล้าหาญขนาดออกไปวิ่งคนเดียวหรอกจ้า ยังไม่ถึงเวลนั้น จริงๆ ทุกเช้าวันเสาร์ แถวบ้านฉันจะมีกลุ่มนักวิ่งเทรลที่รวมตัวกันไปวิ่งเป็นประจำอยู่แล้ว ฉันน่ะแอบส่องพวกเค้าในเฟซบุ๊คมานาน แต่ไม่เคยไปวิ่งด้วยซักที เพราะเขิน ไม่กล้า Social Anxiety จัด เข้าสังคมไม่เก่ง แต่ก่อนเข้านอนคืนวันศุกร์ฉันแอบเช็คไว้แล้วว่าพวกเค้าจะไปวิ่งที่ไหนกัน ก็เลยขอตามไปด้วยแบบไม่องไม่อายแม่งละ กรูไม่ไหวละค่ะ กรูต้องการพลังบวก สามีก็สนับสนุนเต็มที่ ถึงนางจะตื่นเช้าไม่ไหวแต่นางก็เชียร์ให้ฉันไป


และธรรมชาติก็ไม่เคยทำให้เราผิดหวังค่ะ


รวมทั้งสังคมนักวิ่งก็ไม่ทำให้ฉันผิดหวังเช่นเดียวกัน ฉันออกตัวไปแต่แรกเลยว่าฉันวิ่งช้ามาก ก็มีแก๊งคุณน้าวัยเกษียณที่ใจดีให้ฉันวิ่งเกาะไปด้วย ในกลุ่มนี้มีทั้งผู้หญิง ผู้ชาย มีครบทุกวัยตั้งแต่ 30 ยันเกือบจะ 70 และมีสกิลล์การวิ่งทุกระดับ ตั้งแต่นักวิ่งอัลตร้าไปจนถึงนักเดินเขาสายชิว ฉันเลยไม่รู้สึกแปลกแยก ถึงช่วงแรกๆ ที่ออกตัวจะเกือบแพนิคนิดหน่อย แต่ก็พาตัวเองรอดออกมาได้ อาศัยมองต้นไม้ มองธรรมชาติ และเดชะบุญวันนั้นอากาศก็ดีมากเว่อร์ ลมพัดสบาย และเพราะทุกคนซัพพอร์ทฉันมากๆ เราคุยกันเรื่องการวิ่ง เรื่องรูทวิ่งต่างๆ ในละแวกบ้าน เรื่องการค่อยๆ ฝึกให้ตัวเองอึดอดทนขึ้น คือสังคมนักวิ่งอะ มันก็คุยกันแต่เรื่องวิ่ง เลยคุยกันง่าย คุยภาษาเดียวกันแทบจะตลอดเวลา ต่อม Social Anxiety ฉันเลยไม่ค่อยทำงาน แถมแก๊งคุณน้ายังสอนฉันเรื่อง "การทำธุระในป่าขณะวิ่ง" สอนว่าพุ่มไม้แบบไหนจะเหมาะ! ตลกอ้ะ!! เป็นกันเองมากเว่อร์ ฉันโคตรชอบ


• แค่เห็นก็รู้สึกใจเบาขึ้นแล้วมั้ย :)
• แค่เห็นก็รู้สึกใจเบาขึ้นแล้วมั้ย :)
• นักวิ่งมีครบทุกสกิลล์ เหมือนจะต่างคนต่างไป แต่ถึงจุดวิวสวยเมื่อไหร่ต้องรวมตัวค่ะ :)
• นักวิ่งมีครบทุกสกิลล์ เหมือนจะต่างคนต่างไป แต่ถึงจุดวิวสวยเมื่อไหร่ต้องรวมตัวค่ะ :)
• ธรรมชาติมีพลังเยียวยาจริงๆ นะคุณ ฉันยังว่า คราวหน้าจะลองไปกอดต้นไม้ดู ขอแค่อย่ามีมดแดงแล้วกัน
• ธรรมชาติมีพลังเยียวยาจริงๆ นะคุณ ฉันยังว่า คราวหน้าจะลองไปกอดต้นไม้ดู ขอแค่อย่ามีมดแดงแล้วกัน

วิ่งเสร็จเราแวะกินกาแฟและมื้อเช้ากันที่คาเฟ่แถวนั้น แล้วก็แยกย้ายกันกลับบ้าน...ฉันเปิดประตูเข้าบ้านตัวเองแบบผัวแทบจำไม่ได้ ยิ้มร่าาา ออร่าออก มีความสุข เปล่งประกายเรืองรอง ทั้งๆ ที่ตัวเลอะฝุ่น หน้ามันแผลบ การวิ่งเข้าป่ามันทำให้ฉันหายบ้าได้จริงๆ ค่ะคุณ


เขียนมาถึงตอนนี้ เหลือเวลาอีก 2 วัน ฉันจะต้องเข้ากรุงเทพฯ ไปดีลกับพ่ออีกครั้ง คราวนี้ฉันวางตารางไว้แบบชิวมาก และเตรียมตัวไว้แล้วว่าถ้ากลับมาแล้วพังอีก วันเสาร์ฉันจะออกไปวิ่งเทรลอีกค่ะ ยังไม่รู้เหมือนกันว่าจะเป็นยังไง ถ้ามันไม่แย่ ก็ดีไป แต่ถ้ามันแย่ อย่างน้อยฉันก็รู้ว่ามี safety net ขึงเตรียมไว้แล้ว และทุกอย่างจะไม่แย่เท่าเดิม เชื่อค่ะ!!!





Comments


ใช้ตีนคิด

think with your feet

  • strava
  • Instagram

© 2035 by Poise. Powered and secured by Wix

bottom of page