top of page

กังวล จน...การ์มิน

  • คุณแหนด
  • Jul 2
  • 2 min read

ถ้าคุณกำลังไม่แน่ใจว่า นาฬิกาวิ่งจำเป็นมั้ย...โพสท์นี้อาจไม่มีคำตอบที่ชัดเจนให้นะคะ เล่าให้ฟังจากประสบการณ์ส่วนตัวล้วนๆ แต่ถ้าถามความเห็นฉัน...ฉันว่า...เดี๊ยว! อ่านก่อนสิ ตอนจบค่อยบอกนะ แหะๆ


จริงๆ ฉันเป็นคนไม่ใส่นาฬิกา...เลยยยย...ครั้งสุดท้ายที่ใส่คือตอนเอนท์ติดใหม่ๆ (ปี 2541 อะ...ไม่นานมานี้เอง) ได้นาฬิกาเป็นของขวัญมา 1 เรือน ใส่อยู่ได้แป๊บเดียวก็ถอดเก็บ ยิ่งหลังๆ มานี้ถ้าจะดูเวลาก็ดูในมือถือ หรืออย่าง Apple Watch ก็ไม่อยากใส่เพราะแพง 🤣 และรู้สึกว่าชีวิตกรูวันๆ จะต้องชาร์จแบตอุปกรณ์ซักกี่สิ่ง?? และตอนเริ่มวิ่งครั้งแรกเมื่อปี 2004 นักวิ่งก็ยังไม่ค่อยจะใส่นาฬิกากัน ฉันก็เลยวิ่งแบบข้อมือโล่งๆ อาศัยพกมือถือและบันทึกการวิ่งใน Strava app เอาแทน มันก็แม่นบ้างมั่วบ้าง ไม่ได้ซีเรียส ตอนนั้นฉันคิดแค่ว่าวิ่งแก้บ้า วิ่งแก้เครียด ไม่ได้หวังผลทางสมรรถนะอะไรมากมาย


แต่...นัง C-PTSD เพื่อนเก่าเพื่อนแก่ของฉันนี่แหละค่ะ มันเป็นคนสาระแนหาเรื่องให้ฉันต้องคิดใหม่


ฉันว่านักวิ่งหลายคน ตอนเริ่มวิ่งใหม่ๆ น่าจะเคยผ่านช่วงเวลาน่าขยะแขยง ตอนที่เราพยายามทำความเร็ว หรือตอนที่เราเหนื่อยจนหัวใจเต้นรัว เหมือนใจจะขาด ในโมเมนท์นั้น บางขณะจิตมันจะเกิดความรู้สึก "กลัว" แว่บขึ้นมา ไม่รู้กลัวอะไรเหมือนกัน กลัวตาย กลัวหัวใจวาย กลัวภาวะที่ไม่คุ้นเคย รู้แต่ว่ามันน่ากลัวจนทำให้เราต้องชะลอฝีเท้าหรือถึงกับหยุดวิ่ง ซึ่งถ้าคุณเป็นคนที่ภาวะจิตใจปกติ มีความหนักแน่นมากพอ คุณก็จะค่อยๆ กลั้นใจ ฮึบบบ! และกัดฟันผลักตัวเองให้อดทนอยู่ในช่วงเวลาแสนทรมานนั้นได้ และอยู่ได้นานขึ้นทีละนิด จนทั้งร่างกายและจิตใจค่อยๆ คุ้นชินกับมันมากขึ้น สุดท้ายภาวะที่น่ากลัวเหมือนผีสดๆ โดดมาจากหลุม ก็จะกลายเป็นผีน้อยคิวทาโร่ (เกิดทันมั้ย) และคุณก็จะแข็งแรงขึ้นในที่สุด


แต่สำหรับนักวิ่งประเภทฉัน คือพวกที่มีภาวะทางสุขภาพจิต หรือจิตใจไม่สู้แข็งแรงนัก อาจจะต้องทรมานอยู่กับนังผีสดนี่นานหน่อย เพราะว่าภาวะใจเต้นเร็ว รัว แรง แบบนี้ มันมีส่วนกระตุ้น (trigger) ให้เราเกิดภาวะแพนิค (panic) ลนลาน สติแตกได้ง่ายๆ


ฉันมีเพื่อนสนิทคนนึง นางมีภาวะ Panic Disorder แบบเป็นขึ้นมาเอง อยู่ดีๆ ก็จะใจหล่นแฟ่ววว เหมือนเวลานั่งรถไฟเหาะ หรือใจเต้นแรงแบบไม่มีสาเหตุ หรือบางทีก็เต้นแรงด้วยเหตุเล็กเหตุน้อยมากๆ (เช่นมีเด็กๆ วิ่งเล่นอยู่ใกล้ๆ แล้วเสียงดัง) ซึ่งพอนางหันมาวิ่ง นางก็ต้องคอยระวังไม่ออกตัวแรงจนเกินไป และซ้อมแบบค่อยเป็นค่อยไป ไม่ฟาด


ส่วนของฉันคือมันกระตุ้นให้ฉันกลับไปอยู่ในภาวะตื่นกลัวภัยอันตรายในวัยเด็ก อธิบายย่อๆ ก็คือ C-PTSD เนี่ย มันเป็นทรอมาที่เกิดจากการถูกทารุณจิตใจหรือร่างกายซ้ำซาก จนสมองและระบบประสาทปรับโหมดเข้าสู่ภาวะ fight or flight หรือ survival mode เป็นภาวะต่อสู้เอาตัวรอด อยู่ในโหมดระแวดระวังภัยตลอดเวลา เพราะเราไม่เคยรู้สึกปลอดภัยเลย ดังนั้น อะไรเล็กๆ น้อยๆ ร่างกายก็จะตีความว่า นี่คือ danger มหันตภัยใหญ่หลวงไปหมด ซึ่งมันน่าเหนื่อยหน่ายมากนะคุณอีภาวะนี้ เหมือนเรามีเซนเซอร์เตือนแผ่นดินไหว ซึ่งทำงานผิดพลาดตลอดเวลา อ่านค่าเพี้ยนเป็นกิจวัตร กรูก็อพยพฟรีอยู่นั่นแหละจ่ะ


อะ ทีนี้พอมาวิ่ง แล้วพออยากจะวิ่งให้เร็วขึ้น นังเซนเซอร์นี้เองก็จะทำงาน ประหนึ่งว่าการที่ฉันใจเต้นแรงขณะวิ่งนี้เป็นมหันตภัยที่ฉันต้องหลบหนี ซึ่งเมื่อเซนเซอร์ทำงานปุ๊บ วงจรอุบาทว์ก็จะเริ่มขึ้น คือ พอระบบประสาทตื่นตระหนก (ประสาทแดก) ร่างกายก็จะเกร็ง (เพื่อเตรียมรับ impact) โดยเฉพาะหลังส่วนบนและไหล่ ซึ่งพอเกร็งปุ๊บ มันก็จะหายใจลำบาก พอหายใจลำบาก ก็ยิ่งเหนื่อย ยิ่งเหนื่อยใจก็ยิ่งเต้นแรง ใจยิ่งเต้นแรง ประสาทก็ยิ่งประสาทแดกเข้าไปอีก วนเป็นลูปนรกไปเช่นนี้


การวิ่งของฉันก็เลยแช่แหมะอยู่กับที่ ทำได้แค่วิ่งเหยาะๆ เบาๆ โซน 2 ซ้ำซากไปเรื่อยๆ ฉันจึงคิดว่า...ถ้าเราเชื่อร่างกายตัวเอง 100% ไม่ได้ เราก็ต้องหาอะไรมาช่วยยึดเหนี่ยวความเชื่อค่ะ


และสิ่งนั้นก็คือ...การ์มิน


เหตุผลข้อเดียวเลยที่ฉันซื้อนาฬิกามาใส่คือ... ฉันต้องการรู้ว่าจริงๆ แล้วตอนวิ่งหัวใจฉันเต้นเร็วแค่ไหน และจริงๆ แล้วมันเป็นอัตราการเต้นของหัวใจที่ "อันตรายจริงๆ" แล้วหรือยัง?


• ซื้อมาใส่แรกๆ ยังต้องรอให้นาฬิกาเก็บข้อมูลของเราก่อน วิ่งวันแรกนางบอกให้พักไปเลย 28 ชั่วโมง 😅
• ซื้อมาใส่แรกๆ ยังต้องรอให้นาฬิกาเก็บข้อมูลของเราก่อน วิ่งวันแรกนางบอกให้พักไปเลย 28 ชั่วโมง 😅

ซึ่งนาฬิกามันช่วยได้มากค่ะ อะ อ่านมาถึงตอนนี้คุณคงพอได้คำตอบแล้วแหละ ว่าฉันโหวตให้นาฬิกา แต่นอกจากเรื่อง HR (heart rate) monitor ที่ช่วยคลายกังวลได้แล้ว ฉันยังค้นพบว่า...


นาฬิกาทำให้ฉันออกไปวิ่งบ่อยขึ้น และสนุกกับการวิ่งมากขึ้น


เพราะเวลาไปวิ่งแต่ละที เราจะได้เสพข้อมูลเกี่ยวกับการวิ่งของเรา และดูว่าอะไรควรแก้ อะไรควรทำต่อไป ที่สำคัญยิ่งเราใส่นาฬิกาไปเรื่อยๆ และวิ่งไปเรื่อยๆ เราจะยิ่งเห็นพัฒนาการของตัวเองชัดเจนขึ้น ยิ่งพอเอาข้อมูลจากนาฬิกาไปรวมกับข้อมูลใน Strava มันยิ่งแบบ โอ๊ย ชื่นใจ! นี่ฉันออกกำลังกายบ่อยขนาดนี้เชียวหรือ นอกจากเรื่องวิ่งก็ยังมีข้อมูลเรื่องการนอนเอย ค่า HRV (Heart Rate Variable ไว้ค่อยคุยเรื่องนี้ทีหลังนะ มีมาเม้าเหมือนกัน) การ recover เอย ปริมาณอ็อกซิเจนในเลือดเอย เพลินอะ! ทุกวันนี้ตื่นมาตอนเช้าสิ่งแรกที่ทำคือ ดูว่านาฬิกาให้คะแนนการนอนเท่าไหร่ แล้วเอามาอวดกันกับสามี


ใช่ค่ะ...สามีฉัน หลังจากเห็นฉันใส่การ์มินมาสักพัก พอฉันถามว่า เอาด้วยมั้ย? นางตอบว่า "ไม่อะ ชอบ Casio บ้านๆ แบบนี้แหละ นักวิ่งอีลิทบางคนยังใส่ Casio เล้ย ไม่อยากได้ข้อมูลเยอะเว่อร์" แต่พอฉันซื้อการ์มินรุ่นเดียวกันให้เป็นของขวัญวันเกิด นังคาสิโอ้ก็หายสาปสูญไปแล้วจ้ะ! ทุกเช้า ฉันต้องได้ยินเสียง แก่กๆๆๆ และเห็นแสงวาบๆ จากข้อมือนาง กดดูคะแนนการนอนเหมือนกัน!


อะ ถ้าคุณอยากหานาฬิกามาใส่ ต้องบอกก่อนฉันเคยใส่แค่การ์มินนะ ฉันเลือกรุ่น Forerunner 256s เป็นแบบหน้าปัดขนาดเล็กหน่อย ฉันว่ากำลังดี ราคาตอนนั้น 16,XXX แต่ตอนนี้รุ่นที่ใหม่กว่าออกมาแล้ว น่าจะเหลือ 13,XXX มั้ง ส่วนเพื่อนๆ ฉันบางคนก็ใส่ Forerunner 165 หรือ Forerunner 55 แล้วแต่ความชอบส่วนตัวค่ะ เอาง่ายๆ ฉันว่าแล้วแต่จริตและงบประมาณ แต่ถ้าคุณชอบวิ่ง เน้นวิ่งถนน หรือวิ่งเทรลด้วยแต่ไม่ถึงขั้นอัลตร้า ยังไง Forerunner ก็น่าจะเป็นโมเดลที่เหมาะที่สุดในความเห็นฉันนะ


สุดท้ายนี้ ขอขอบคุณความกังวล ความแพนิค และบรรดาทรอมาทั้งปวงที่ทำให้ฉันได้ค้นพบการ์มิน และได้ค่อยๆ อัพสกิลการวิ่งตัวเองแบบไม่สติแตก (เท่าไหร่) ซักทีค่ะ!




Comments


Commenting on this post isn't available anymore. Contact the site owner for more info.

ใช้ตีนคิด

think with your feet

  • strava
  • Instagram

© 2035 by Poise. Powered and secured by Wix

bottom of page