top of page

บทนำ 01:ใช้ตีนคิด

  • คุณแหนด
  • Nov 10, 2024
  • 1 min read

นี่คือบล็อกเงียบๆ เกี่ยวกับการวิ่งและการคิด ที่มีทั้งคิดถูก คิดผิด คิดวน คิดได้ คิดไปคิดมา...คือทุกความคิดที่เกิดขึ้นขณะที่เราออกไปวิ่ง หรือบางทีก็เป็นความคิดเกี่ยวกับการวิ่ง ฉันอยากจะเขียนรวบรวมไว้ เผื่อว่าวันหนึ่งในอนาคตย้อนมาอ่านแล้วจะเตือนสติตัวเองได้บ้าง หรือถ้าใครผ่านมาอ่านแล้วจะได้ประโยชน์อะไรไปบ้างค่ะ


ฉันจะขอแทนตัวเองว่า “ฉัน” แต่ว่าในบางขณะจิตอาจจะเปลี่ยนเป็น “กู” หรือ “กรู” บ้างตามฟีลลิ่งของเรื่องราว ตัดปัญหาเรื่องอายุและความอาวุโสออกไปซะ และลดความคาดหวังของผู้อ่านด้วย เพราะเกิดใช้คำว่า “พี่” หรือ “ป้า” แล้วเขียนออกมาปัญญาอ่อนมากจะทำให้ท่านเสียอารมณ์เอาเปล่าๆ...เนอะ


ผู้เขียนเป็นนักวิ่งมือใหม่ ที่กล้าใช้คำว่า “นักวิ่ง” เพราะฉันเชื่อว่าใครที่วิ่ง คนนั้นก็คือนักวิ่ง โดยไม่จำเป็นต้องมีสถิติหรือประวัติการแข่งอะไรติดตัว ใครชอบวิ่ง คนนั้นก็เป็นนักวิ่งแล้วค่ะ จะวิ่งแค่สองอาทิตย์ครั้ง ครั้งละ 10 นาที ฉันก็ว่าไม่แปลกถ้าเขาจะเรียกตัวเองว่า “นักวิ่ง” ฉันก็จะเรียกตัวเองแบบนั้นนะ


เส้นทางนักวิ่งของฉันคล้ายๆ ทางรถไฟโฮปเวลล์ (พอเดาอายุได้แล้วสิ...) คือเป็นโปรเจกท์ใหม่ที่สร้างแต่ไม่เสร็จ แล้วก็ถูกทิ้งให้พังพินาศไปหลายปีกว่าจะมารื้อทำต่อ ฉันเกิดฮึกเหิมเดินเข้าห้างไปซื้อรองเท้าวิ่งคู่แรก หลังจากดูหนัง “รัก 7 ปีดี 7 หน” ของ GTH ตอนปี 2004 นู่น ซึ่งหนังเรื่องนี้มันคือหนังสั้น 3 เรื่องรวมกัน และเรื่องสุดท้ายคือเรื่องของคุณสู่ขวัญ และคุณนิชคุณ ที่ในบทคือเป็นป้าแก่กับเด็กหนุ่มที่มาพบรักกันเพราะการวิ่ง (ฉันคือป้าแก่) และหนังเรื่องนี้ก็ทำเอาคนไทยค่อนประเทศลุกขึ้นมาวิ่งกันอย่างพร้อมเพรียงจนกลายเป็นเทรนด์มาถึงทุกวันนี้ ประโยคเด็ดในหนังเรื่องนี้คือ

“ถ้าคุณแค่อยากวิ่ง คุณวิ่งกิโลเดียวก็ได้ แต่ถ้าคุณอยากพบชีวิตใหม่ คุณค่อยมาวิ่งมาราธอน”

ฉันฟังแล้วก็ตาลุกสิคะ เฮ้ย การวิ่งมาราธอนจะเปลี่ยนชีวิตบัดซบของฉันได้สินะ ถามว่ารู้มั้ยมาราธอนมันกี่กิโล? ในหนังเขาก็พูดอยู่แต่ไม่ค่อยได้ใส่ใจ คิดเอาเองว่านางเอกเขายังวิ่งได้เลย ว่าแล้วก็ไปซื้อรองเท้ายี่ห้อเดียวกับที่นางเอกใส่ คือ Asics แต่ไม่รู้หรอกเขาใส่รุ่นอะไร เลือกเอาจากสีที่ฉันชอบ ราคาเท่าไหร่ช่างมันเพราะนี่คือการลงทุนเปลี่ยนชีวิต! จัดไป Gel-Kayano 18 ราคา 6,500 บาทถ้วน ณ เซ็นทรัล ชิดลม มีการคำนวณด้วยนะ ว่าถ้าวิ่ง 10 กิโล ก็คือกิโลละ 650 บาท ไม่รู้จะคิดไปทำไม



รองเท้าวิ่งคู่แรกในปี 2004 Asics Gel-Kayano 18 (ซ้าย) ส่วนคู่ขวาจำรุ่นไม่ได้แล้วจ้ะ น่าจะซื้อมาทีหลังจากเอาท์เลท


ฉันก็ไปวิ่งสวนลุมอยู่พักนึง เพราะใกล้ทั้งบ้านและที่ทำงาน วิ่งไปก็ไม่ได้เจอเด็กหนุ่มน่องแน่นแต่อย่างใด เจอแต่แก๊งค์อาม่า อาแปะ และครอบครัวตัวเหี้ยหน้าเดิมๆ นอนอาบแดดบ้าง ว่ายพลิ้วอยู่ในน้ำบ้าง และฉันก็ไม่สำเหนียกว่าไอ้ที่เราดูเขาวิ่งในหนังน่ะ เราไม่เหนื่อย แต่พอมาวิ่งเองจริงๆ โอ้โห เหนื่อยฉิบหาย! ไม่เห็นสนุกเลย! เมื่อไหร่แม่งจะครบกิโลวะ ฉันกัดฟันวิ่งไปแบบไร้เบสิค ไร้ความรู้ใดๆ ทั้งสิ้น และตอนนั้นความที่สติปัญญายังไม่แตกฉาน เลยไม่ได้หัดสังเกตนักวิ่งคนอื่นๆ ว่าเขาวิ่งกันยังไง หลับหูหลับตาสับขาไปมั่วๆ ซึ่งมันหาความเพลิดเพลินไม่ได้เอาซะเลย แถมร้อนอีกต่างหาก ช่วงหลังๆ เลยหันมาวิ่งตากแอร์บนลู่วิ่งในฟิตเนสแทน รวมๆ แล้วฉันวิ่งบ้างไม่วิ่งบ้างไปประมาณ 1 ปี จนพอจะประคองตัวเองให้วิ่งช้าๆ ต่อเนื่องได้ประมาณ 1 ชั่วโมง (ความเร็วลู่ 6.5...ช้ามากเธอ คนอื่นเขาวิ่งกัน 8-10)


เอาจริงๆ สมัยเรียนประถมฉันเคยเป็นนักวิ่งทีมโรงเรียนนะ แต่การวิ่งแบบนั้นมันคือวิ่งเร็ว หรือ sprint ในสนามแข่งดีๆ พื้นนุ่มๆ ซึ่งฉันต้องใส่รองเท้าวิ่งที่มีหนามๆ อยู่ปลายเท้า วิธีการวิ่งแบบนั้นเอามาใช้วิ่งยาวๆ บนยางมะตอยรอบสวนลุมอย่างนี้ไม่ได้ค่ะ ฉันลองแล้ว ตะคริวจะกินตั้งแต่ 10 ก้าวแรก นั่นก็เป็นการตรัสรู้ครั้งแรกว่า เออ การวิ่งมันมีมากกว่า 1 แบบแฮะ


แต่แล้วความเห่อที่ฝ่อลง บวกกับความเหนื่อยและความไม่สนุกในการวิ่ง (คลาน) โปะทับด้วยความเครียดจากงานและปัญหาชีวิต ก็ทำให้ฉันเลิกวิ่งไปค่ะ เป็นอันจบเฟสแรก เหลือแต่รองเท้าตั้งโด่เด่จนเจลแสนแพงนั้นแข็งกระด้าง เหมือนเสาโฮปเวลล์ที่ชี้ค้างประดับถนนวิภาวดีอยู่หลายสิบปี


ตัดภาพมาปี 2020 ผ่านไป 16 ปีเองจ้ะ...


ชายใส่แว่นที่นั่งตรงข้ามหลังฉากกั้นใสๆ พูดกับฉันว่า “การวิ่งนี่มันเทียบเท่ากับกินยาเลยนะคุณ” ซึ่งฉันคงไม่เชื่อหรอกค่ะถ้าชายคนนี้ไม่ใช่นักวิ่ง และที่สำคัญ เขาคือจิตแพทย์ของฉันเองจ้ะ...ใช่ค่ะ ชีวิตฉันได้มุ่งสู่ความฉิบหายอย่างต่อเนื่องจนถึงขั้นที่ต้องมาแผนกจิตเวชเป็นประจำทุกเดือน (ซึ่งโรงพยาบาลนี้เขาเรียก “คลินิกพิเศษ” เพื่อรักษาน้ำใจคนป่วยอย่างเรา) หมอพูดกับฉันหลังจากที่ฉันเริ่มทานยามาได้ 3 เดือน มาครั้งแรกๆ หมอไม่พูดถึงการออกกำลังกายเลย เพราะฉันนั่งร้องไห้อย่างเดียว แค่ให้อีนี่มันอยู่นิ่งๆ ทำงานทำการได้อย่างคนปกติก่อนเถอะ แล้วค่อยให้มันคิดออกกำลังกาย หมอคงคิดอย่างนั้น พอได้ยาช่วยมาสักพักจนเสียสติน้อยลง หมอจึงเริ่มเกริ่นถามว่า


“คุณออกกำลังกายอะไรบ้างมั้ย?”

“หนูฝึกโยคะค่ะหมอ เรียนเป็นครูสอนมาด้วยค่ะ”

ที่พูดไปนี่คือหวังให้หมอชม แต่หมอกลับบอกว่า

“มีอะไรที่มันได้กระโดด ได้ออกแรง ได้เหวี่ยงๆ บ้างมั้ย?”

“เออ...โยคะนี่ก็มีกระโดดอยู่นะคะ โดดจากกลางเสื่อไปหัวเสื่อ...”

“โอย คุณ มันไม่พอ มันต้องแบบต่อยมวย อะไรอย่างเงี้ย”

“ปวดคอ บ่า ไหล่ หลัง พบนักกายภาพอยู่ค่ะหมอ...”

ใช่จ้ะ ออฟฟิศ ซินโดรมแดกจ้ะ หมอนิ่งไปสักพัก แล้วก็ถามว่า...


“คุณเคยวิ่งมั้ย?”


ทุกวันนี้อยากจะกลับไปกราบคุณหมอมาก จริงๆ นะ เพราะค่ายาของฉันตอนนั้นคือเดือนละหมื่นกว่า...และยุคนี้ Asics Gel-Kayano ช่วงโปรเขาขายกันห้าพันกว่าบาท บางทีมีแฟลชเซลล์เหลือไม่ถึงสองพันก็มี กินยาสามเดือนได้รองเท้าแล้ว 6 คู่อย่างต่ำ ฉันจำได้ว่าวันนั้นออกจากห้องหมอปุ๊บก็ขับรถกลับไปแผนกกีฬาที่เซ็นทรัล ชิดลม ที่เดิม เหมือนเดิม (แต่ยุคนี้เขาเรียกซูเปอร์สปอร์ตแล้ว) ปรากฎว่า Gel-Kayano นั้นสีไม่ถูกจริต ที่สำคัญราคาก็ยังเกินเอื้อม เพราะฉันยังต้องจ่ายค่ายาอยู่ในตอนนั้น สรุปเลยได้ On Cloud 4 จากแบรนด์สวิสน้องใหม่มาในราคาเซลล์ จากห้าหกพันเหลือไม่ถึงสองพัน...ถ้าราคานี้ สีอะไรก็สวยหมดแหละ


แล้วโครงการโฮปเวลล์ของฉันก็เริ่มเดินหน้าอีกครั้งอย่างฝืดๆ

Comments


ใช้ตีนคิด

think with your feet

  • strava
  • Instagram

© 2035 by Poise. Powered and secured by Wix

bottom of page